Phonics คืออะไร

Phonics Program

               คือ หลักสูตรสอน การอ่าน เขียน ออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโปรแกรมโฟนิค์ สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป ด้วยระบบการเรียนการสอนที่ทันสมัย  มีการนำระบบ Interactive Touch Screen มาใช้ในทุกชั้นเรียน โดยการนำหลักสูตรการสอนของ Oxford Phonics World ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประเทศอังกฤษมาใช้  มีการพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนของเด็กไทย  เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้พื้นฐานการออกเสียงต่างๆ ในภาษาอังกฤษ  ฝึกแยกแยะความแตกต่างของเสียง   ฝึกการผสมคำ  และการอ่านออกเสียงอย่างถูกวิธี   พร้อมทั้งวางรากฐานด้านการเขียนอย่างถูกวิธี  ด้านคำศัพท์ และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ  เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนาน  สอนโดยคุณครูต่างชาติเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์การสอนโฟนิคส์สำหรับเด็กโดยตรง

What is Phonics?

               ในปัจจุบันนี้ กว่า 90% ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษ และประเทศต่างๆที่ใช้ภาษาอังกฤษทั่วโลก ได้นำระบบ Phonics มาใช้เป็นแนวทางหลักในการสอนการอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กวัยเรียน การสอนระบบ Phonics (โฟนิคส์) คือการสอนความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร และนำหลักการถอดรหัสคำมาใช้ เพื่อการอ่าน เขียน สะกดคำต่างๆในภาษาอังกฤษอย่างเป็นระบบ ตามลำดับขั้นตอน เพื่อให้สามารถอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน

เนื่องจากมีผลการศึกษาวิจัยมากมาย จากหลายประเทศสรุปว่าการเรียนการสอนในระบบPhonicsนี้เป็นวิธีที่ช่วยปูพื้นฐานด้านการอ่านเขียนที่มีประสิทธิภาพสูงในระยะยาวสำหรับการพัฒนาด้านการอ่านเขียนขั้นสูงต่อไปในอนาคต จึงได้นำระบบการสอนแบบโฟนิคส์นี้ มาใช้เพื่อพัฒนาทักษะสำคัญด้านการอ่าน เขียน ออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกวิธีเพื่อเด็กๆ ยุคใหม่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ และสามารถนำทักษะทางการอ่านเขียนภาษาอังกฤษนี้ไปพัฒนาตนเองในด้านต่างๆต่อไปในอนาคต

Why Phonics?

               ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้นยังคงใช้ระบบท่องจำคำศัพท์ เช่นเดียวกับวิธีการที่เราเคยเรียนมาในอดีตซึ่งหากครูผู้สอนขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องย่อมทำให้ผู้เรียนจำวิธีการออกเสียงไปใช้อย่างคลาดเคลื่อน ประสบปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งบ่อยครั้งที่เราเองยังรู้สึกว่าพูดไปอย่างไร ผู้ฟังซึ่งเป็นเจ้าของภาษาก็ไม่สามารถเข้าใจคำพูดที่เราต้องการสื่อสารได้ ระบบ Phonics สอนให้เด็กรู้จักเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษรไม่ได้ให้อ่านตามชื่อตัวอักษรเท่านั้น ในระบบปกติเด็กๆ จะถูกสอนให้อ่านA=เอ, B=บี , C=ซี แต่เมื่อ  เรียนตามระบบ Phonics จะอ่านออกเสียง A=แอะ,B=เบอะ, C=เคอะ ดังนั้นเวลาผสมคำว่า CAT จะต้องสะกด “เคอะ-แอะ-เทอะ=แคท” ไม่ใช่ “ซี-เอ-ที=แคท” ซึ่งทำให้เด็กสามารถอ่านหรือสะกดคำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำคำศัพท์ (เช่น “ซี-เอ-ที-แคท-แปลว่าแมว”) แต่เป็นการอ่าน จากความเข้าใจในระบบการออกเสียงที่ถูกต้องตามหลัก Phonics เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า ตัวอักษร C ออกเสียงอย่างไร ในเวลาใช้ตัว Cในการผสมคำต่างๆ เช่น CAT, COOK หากออกเสียงตามชื่อเรียกตัวอักษร”ซี” เราจะไม่สามารถออกเสียงเป็นคำว่า “แคท” ได้เลย (น่าจะเป็นเสียง “แซด”เสียมากกว่า) ฉะนั้นตามที่เราเรียนมาแบบดั้งเดิมจึงเป็นเพียงการสอนให้จำเสียงของคำที่เราได้ยินจากการเรียกชื่อตัวอักษรเท่านั้นและนั่นหมายความว่าเราไม่เคยรู้จักเสียงที่แท้จริงของตัวอักษรหรือสามารถออกเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษรนั้นๆเลย

การถอดรหัสเสียงในระบบPhonicsจะช่วยสร้างความเข้าใจในการออกเสียงหรือผสมคำในภาษาอังกฤษซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักตัวอักษรและคำศัพท์โดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำ แม้แต่คำที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนเช่นเดียวกับเจ้าของภาษา ขณะที่เด็กที่ผ่านการเรียนแบบท่องจำมาตลอดจะรู้จักเฉพาะคำศัพท์ที่ท่องมาเท่านั้น ที่สำคัญระบบการเรียนแบบโฟนิกส์นั้นมีความสัมพันธ์กับการเรียนภาษาอังกฤษในทุกๆ ทักษะ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน หรือสะกดคำจะเห็นได้ว่าเมื่อเด็กสามารถแยกแยะหน่วยเสียงได้และจะทำให้ฟังได้ง่ายขึ้นเมื่อฟังเจ้าของภาษาพูดหรือสนทนา (Listening) และเมื่อเข้าใจที่พูดก็จะสามารถโต้ตอบได้(Speaking) เมื่อพบคำใหม่ก็ใช้จะหลักแยกแยะหน่วยเสียงอ่านได้ (Reading) ซึ่งเมื่อสามารถอ่านได้ก็จะสามารถเขียนคำตามที่อ่านได้ (Spelling และ Writing) นั่นเอง

สิ่งสำคัญของการเรียนระบบ Phonics แท้จริงแล้วไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การออกเสียงเท่านั้นแต่ยังสร้างความสามารถในด้านการผสมเสียงและสะกดคำเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสู่ทักษะการอ่านจับใจขั้นสูงและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กที่เรียนในระบบนี้รักการอ่านและการเขียน ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเปิดโลกใบนี้ให้กว้างขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้อยู่ที่แหล่งความรู้ที่เป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว

นอกจากนั้นยังมีผลสรุปงานวิจัยด้านการเรียนรู้ทางด้านสมอง (Brain-based learning / Neuron-scientific research)  ของมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้ทำการสแกนสมองของผู้เรียนภาษาอังกฤษด้วย วิธีการแบบโฟนิกส์กับวิธีการสอนแบบดั้งเดิมสรุปไว้ว่าวิธีการสอนแบบโฟนิกส์นั้นช่วยกระตุ้นเซลล์สมองทำให้มีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ และทั้งทำให้เส้นใยสมองเดิมแตกตัวและเบ่งบานอย่างถาวร ซึ่งมีผลทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนภาษาอังกฤษสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการสอนด้วยวิธีอื่นๆ